พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล
พระองค์จะทรงประทานพรวิเศษให้แก่คนผู้หมั่นกระทำความดี
และยึดมั่นในศีลธรรมเท่านั้น
หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใด ๆ ก็ให้พรนั่น
พระศิวะจะประทานสิ่งวิเศษให้ในไม่ช้า แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว
วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงามคนผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต
พระศิวะเทพผู้จะกลายเป็นเทพผู้ทำลายทันที
มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้นสามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง
ๆได้อย่างมหัศจรรย์นัก
หากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย
หากบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ
ก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นจะถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน
ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด
หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์
พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ได้เช่นกัน
เป็นที่กล่าวขวัญกันโดยทั่วไป
พระศิวะนั้นเป็นเทพที่จะอำนวยพรประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงวัว
เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ หรือแม้แต่พกที่ทำอาชีพเกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง
ก็จะมีความสำเร็จและมีความสมบูรณ์พูนสุขได้
หากบวงสรวงบูชาพระศิวะเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์
ชาวบ้าน ชาวเมืองยังนิยม ยังเชื่อกันว่าพระศิวะนั้นเป็นเทพที่จะคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกลและจะทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้นในชีวิต
ในครอบครัว
นอกจากบทบาทความสำคัญโดยรวมที่กล่าวมาแล้วนั้น
อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดแยกออกไปจากบทบาทของการเป็นมหาเทพผู้ทรงมีพระมหากรุณาประทานพรแก่มวลมนุษย์นั้น
พระศิวะยังทรงเป็นเทพแห่งคีตา
คือเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรีและการรำฟ้อนทั้งปวงอีกด้วย
ปฐมบท
ตรีมูรติหรือผู้เป็นเจ้าทั้งสาม
ที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งนิรันดร์นั้น
เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู ซึ่งจะมีตัวอักษร 3 ตัว อันศักดิ์สิทธิ์ที่
เรียกเรียกกันว่า "โอม"
อักษรศักดิ์สิทธิ์ "โอม"
นั้นประกอบด้วยอักษร 3 ตัวคือ
อะ
หมายถึง พระวิษณุหรือพระนารายณ์
อุ
หมายถึง พระอิศวรหรือพระนารายณ์
มะ
หมายถึง พระพรหม
พยางค์ศักดิ์สิทธิ์คำว่า
"โอม" นี้ มักจะเขียนเป็นอักษรเทวนาครี ซึ่งได้บ่งบอกถึงตรีมูรติหรือ 3 มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาฮินดู
ในคัมภีร์ของพราหมณ์นั้น
กล่าวถึงพระศิวะว่าทรงเป็นมหาเทพซึ่งมีผู้นิยมนับถือบูชากันแพร่หลายและกว้างขวางมากกว่าเทพองค์อื่น
ๆ
กำเนิดของพระศิวะนั้น ปรากฏ
เป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละยุคดังนี้
ยุคพระเวท
เรื่องก็มีอยู่ว่าพระพรหมนั้นเกิดความรำคาญอกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งนักที่พระเสโทหรือเหงื่อผลุดซึมทั่วพระวรกายและยังไหลรินย้อยลงทั่วบริเวณพระพักตร์อีกด้วย
ในวันอันร้อนอ้าวเช่นนั่น พระพรหมทรงบำเพ็ญภาวนา
เพิ่มตบะบารมีให้แกร่งกล้าอย่างมุ่งมั่นเมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยเหงื่อเช่นนั้นก็จึงได้นำเอาไม้ไปขูด
ๆที่บริเวณพระขนงหรือคิ้ว โดยมิได้ระมัดระวังองค์นัก
คมของไม้นั้นจึงได้บาดบริเวณพระขนงของพระองค์จนกระทั่งปรากฏพระโลหิตผลุดซึมออกมาและหยาดหยดลงบนกองเพลิงเบื้องหน้าของพระองค์นั้นเอง
ทันทีที่พระโลหิตหยาดหยดลงในเปลวเพลิงก็พลันเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง
จุติขึ้นมาในเปลวเพลิงนั้น
ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมาเบื้องหน้าพระองค์เทพบุตรผู้งดงามองค์นี้ก็ได้ร้องไห้
พลางขอให้พระองค์ประทานชื่อให้แก่ตน ซึ่งพระพรหมได้ประทานชื่อให้ถึง 8 ชื่อ ด้วยกันดังนี้
ภพ สรรพ ปศุบดี อุดรเทพ มหาเทพ รุทร
อิศาล อะศะนิ
หลังจากนั้นเทพองค์นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นับถือของมนุษย์ทั่วไป
โดยส่วนใหญ่แล้วบรรดามวลมนุษย์จะนับถือบูชาเทพบุตรองค์นี้ในนามของพระรุทรอันเป็นชื่อ
ๆหนึ่งใน 8ชื่อนี้
ซึ่งนามรุทรนี้มีความหมายแปลได้ว่า ร้องไห้ แต่สำหรับชื่ออื่น ๆ อีก7 ชื่อนั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก
ว่ากันว่าพระรุทรเทพบุตรที่มีชื่ออันแปลว่าร้องไห้นี้เป็นมหาเทพที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีอำนาจบารมีค่อนข้างสูงนักในยุคพระเวทนี้
และยังเป็นเทพที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามนิยมนับถือบูชากันอย่างจริงจังทั่วไปโดยนับถือให้พระรุทรเป็นเทพผู้ทำลายล้าง
คือทำลายสิ่งที่เลวร้ายให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
หรือหมายถึงการทำลายสิ่งเลวให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นใหม่
ยุคมหากาพย์ มหาภารตะ
ในยุคนี้มีความเชื่อกันในเรื่องกำเนิดพระศิวะว่า
พระองค์นั้นทรงจุติออกมาจากพระนลาฏ หรือหน้าผากของพระพรหมจึงเท่ากับว่าพระศิวะก็เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของพระองค์มหาเทพ
ยุคไตรเภท
คัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะว่า
ทรงประสูติจากพระนางสุรภี และพระบิดาก็คือพระกัศยปะเทพบิดร
คัมภีร์พรหมมานัส
พระศิวะเป็นเทพที่กำเนิดจากพระประชาบดีมิได้เกิดจากพระโลหิตของพระพรหมดังเช่นที่มีการกล่าวไว้ในยุคพระเวท
ครั้นเมื่อทรงจุติขึ้นมาแล้วเทพประชาบดีก็ถามพระโอรสว่า
เหตุไฉนจึงร่ำไห้โศกาอาดูรตลอดเวลา
พระรุทรหรือเทพบุตรโอรสของพระประชาบดีที่กำลังร่ำไห้อยู่นั้น
จึงได้ทูลตอบว่า เพราะว่าพระบิดาไม่ได้ตั้งชื่อให้เมื่อไม่มีชื่อก็จึงเสียใจร้องไห้เช่นนั้น
พระประชาบดีจึงได้ตั้งชื่อให้โอรสองค์นี้ว่า พระรุทรซึ่งหมายถึงการร้องไห้
และพระรุทรองค์นี้ในคัมภีร์พรหมนัสได้กล่าวไว้ว่า น่าจะหมายถึงองค์ศิวะนั่นเอง
ในคัมภีร์โบราณที่ปรากฏอยู่ในหอวชิรญาณได้อธิบายถึงประวัติความเป็นมาการกำเนิดของพระศิวะไว้ว่าเมื่อโลกได้ถูกเผาด้วยไฟบรรลัยกัลป์จนพินาศโดยสิ้นแล้วนั้น
ได้มีคัมภีร์พระเวทและพระธรรมบังเกิดขึ้นและเมื่อพระเวทกับพระธรรมมาประชุมรวมกันจึงได้บังเกิดเป็นมหาเทพองค์หนึ่งคือ
พระปรเมศวร ในคัมภีร์นี้อธิบายการกำเนิดของพระศิวะว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมาเอง
หลังจากการทำลายล้างโลกโดยที่มิได้เป็นโอรสหรือจุติมาจากการนิรมิตรสร้างสรรค์ของมหาเทพองค์ใด
รูป
รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้นมีปรากฏมากมายหลายลักษณะด้วยกัน
แต่จุดเด่นที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะก็คือ
รูปพระจันทร์เสี้ยวและดวงตาดวงที่ 3 บนหน้าผาก
สร้อยประคำที่เป็นหัวกะโหลกและงูที่คล้องพระสอหรือคอของพระองค์อยู่นั้น
ก็ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย
เล่ากันว่า
ที่มาของงูพิษที่พระศิวะทรงคล้องคอไว้ประดับองค์เป็นเอกลักษณ์พิเศษนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียวเพราะพระองค์ไม่ได้ไปจับมาจากพงหญ่าป่าใหญ่ที่ไหน
แต่มีผู้ส่งมามาให้พระองค์โดยเฉพาะ
คนผู้นั้นก็คือนักบวชผู้นี้มีภรรยาหลายคนแต่บรรดาภรรยาของเขาเกิดมาหลงใหลในเสน่ห์อันล้ำลึกขององค์พระศิวะ
ด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
นักบวชจึงส่งเสือร้ายตัวโตไปจัดการสังหารพระศิวะ
แต่ว่าพระศิวะเป็นกลับเป็นฝ่ายพิชิตเสือด้วยพระหัตถ์ของพระองค์อย่างสบาย ๆ
แถมยังฉีกเอาหนังสือมาเป็นที่ปูพื้นไว้รองนั่งอีกด้วย
เมื่อส่งเสือมาไม่ได้ผล
นักบวชผู้เคียดแค้นแสนริษยาก็อสรพิษร้ายตัวใหญ่มาจัดการพระศิวะ
แต่อสรพิษร้ายกับถูกพระศิวะร่ายเวทมนต์สยบเอาไว้ได้โดยที
แล้วพระองค์ก็จับเอางูพิษนั้นมาคล้องคอเป็นเครื่องประดับสุดพิศดารไม่ซ้ำแบบใคร
นักบวชผู้ไม่ยอมแพ้ยังคงคิดลองของ ส่งอสูรร้ายมาสังหารพระศิวะในเวลาต่อมา
และพระศิวะก็ทรงสยบอสูรร้ายตนนั้นได้ด้วยท่าทีลีลาร่ายรำอันน่าพรั่นพรึง
ซึ่งสะท้านสวรรค์สะเทือนเดิน แม้แต่บรรดาทวยเทพทั้งปวงก็พากันมาเคารพนบนอบยอมรับในความยิ่งใหญ่ของมหาเทพองค์นี้
มหาเทพองค์อื่นๆนั้น
ก็ล้วนแล้วแต่รูปลักษณ์มากมายหลายรูปที่แตกต่างกันไป
แต่ในรูปที่แตกต่างนั้นก็จะมีส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกันบ้าง
ในรายละเอียดของสีพระวรกายหรือสิ่งของที่ทรงถือไว้ในพระหัตถ์
แต่สำหรับพระศิวะนั้น กล่าวได้ว่ารูปลักษณ์ของพระองค์นั้นค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถสังเกตุได้ง่ายไม่สบสนวุ่นวายเหมือนกับจดจำรูปลักษณ์ของมหาเทพองค์อื่นๆเป็นแน่
พระศิวะนั้นเป็นเทพที่นิยมประพฤติองค์เป็นโยคีหรือผู้ถือศีล
ดังนั้นรูปของพระองค์จึงมักปรากฏเป็นเทพที่ทรงเครื่องแบบที่ค่อนข้างติดดินสักหน่อย
เป็นต้นว่า ทรงแต่งองค์คล้ายๆ
พวกโยคะหรือพวกฤาษีสยายผมยาวแล้วม่นมวยผมเป็นชฎาบนศีรษะ
ทรงนุ่งห่มด้วยหนังกวางบ้าง หนังเสือบ้าง
คัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้น
กล่าวถึงสีพระวรกายของพระศิวะแตกต่างกันไป
บางคัมภีร์ระบุว่าพระวรกายของพระศิวะนั้นเป็นสีแดงเข้มราวกับเปลวไฟหรือโลหิต
บางคัมภีร์ว่าพระวรกายขององค์พระศิวะนั้นเป็นสีขาว
นวล บริสุทธิ์ ดั่งสีของพระจันทร์
แต่หลายๆคัมภีร์กล่าวไว้ตรงกันว่า
พระศิวะนั้นเป็นเทพที่มีพระเนตร3ดวง คือดวงที่3นั้นจะปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าผากขององค์โดยปรากฏเป็นดวงตารูปแนวนอนบ้าง
รูปตั้งทรงพุ่มช้างบิณฑ์บ้าง และดวงตาที่3
นี้สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้อีกด้วย รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้น
มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามแต่ละปาง
อาวุธ
ในปางต่าง
ๆที่มีอยู่มากมายหลายสิบปางนั้น
มักจะปรากฏพระกรแต่ละข้างของพระศิวะนั้นทรงถืออาวุธที่แตกต่างกันไป
แต่ส่วนใหญ่อาวุธที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์นั้น คือ
คฑา - ที่ที่ยอดเป็นรูปหัวกะโหลก ชื่อ
ชัฏวางค์
ตรีศูล - ชื่อ ปีนาก
คันศร - ชื่อ อชคพ
นอกจากนั้นอาวุธของพระศิวะที่ปรากฏว่าทรงถืออยู่ในหลาย
ๆปางหลายๆรูปลักษณ์ก็คือ บัณเฑาะว์ พระสังข์ บ่วงบาศ เปลวเพลิง พระขรรค์
พาหนะ
โคที่มีนามว่า อุศุภราช คือ
โคเผือกที่เป็นพาหนะประจำขององค์พระศิวะ
โค อุศุภราช
นี้บางครั้งก็มีชื่อเรียกกันไปอีกว่า โคนนทิราช
ซึ่งกำเนิดที่ไม่ธรรมดาคือโคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากพ่อโค แม่โคเหมือนกับโคอื่น ๆ
แต่ทว่ากำเนิดเกิดจากมหาเทพเลยทีเดียว
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าในการกวนเกษียรสมุทรครั้งยิ่งใหญ่ของทวยเทพทั้งปวงนั้น
ก็ได้มีสิ่งวิเศษเกิดขึ้นมากมายหลายสิ่งด้วยกัน
และนางโคสุรภีก็เป็นของของวิเศษอีกสิ่งหนึ่งที่ได้จุติขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทรครั้งนั้น
พระกัศยปะนั้นก็มีความต้องการที่จะได้นางโคสุรภีเอาไว้เป็นพาหนะประจำองค์
แต่ทรงติดอยู่เล็กน้อยที่ว่านางโคสุรภีนั้นเป็นโคเพศเมีย
หากนำมาเป็นพาหนะประจำองค์นั้น ก็ทรงอยากจะได้โคเพศผู้เสียมากกว่า
ดังนั้นพระกัศยปะจึงได้นิรมิตกายเป็นพ่อโคตัวผู้แล้วก็ไปผสมพันธุ์สมสู่กับนางโคสุรภี
จนกระทั่งแม่โคตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกออกมาเป็นโคเพศผู้สีขาวบริสุทธิ์และมีลักษณะดีตั้งตรงตำราเป็นพิเศษ
พระกัศยปะจึงได้ประทานนามให้กับโคเผือกที่เป็นโอรสนั้นว่า นนทิหรือนันทิ
และได้ถวายให้เป็นพาหนะประจำองค์คอยติดตามรับใช้พระศิวะมหาเทพสืบต่อมา
แต่ในบางคัมภีร์นั้นก็กล่าวถึงประวัติการกำเนิดของโคนนทิราชนี้แตกต่างออกไปด้วยกล่าวว่าแต่เดิมนั้นโคนนทิราช
หรือ โคอุศุภราชนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า
ซึ่งเทพบุตรองค์นี้ก็มีนามว่านนทิ
มีหน้าที่เป็นเทพที่คอยคุ้มครองดูแลบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆ
กับเขาไกรลาส
และเทพนนทิที่เป็นเทพที่ครองสัตว์จัตุบาททั้งปวงนั้นก็มักจะนิรมิตองค์เองให้กลายเป็นโคเผือก
เพื่อให้พระศิวะได้เสด็จประทับไปยังแห่งหนต่าง
ๆจนเป็นเสมือนพาหนะประจำพระองค์ไปโดยปริยาย
ซึ่งในคัมภีร์โบราณนั้นยังบันทึกไว้ด้วยว่า
เทพบุตรนนทิองค์นี้ไม่ได้เป็นคู่เทพที่จะมาแปลงกายเป็นโคให้พระศิวะได้เสด็จประทับเป็นพาหนะเท่านั้น
แต่พระนนทิ ก็ยังเป็นหัวหน้าแห่งเทพบริวารทั้งหลายทั้งปวงของเทพพระศิวะอีกด้วย
บางคัมภีร์กล่าวว่าพระนนทินอกจากจะเป็นเทพผู้ครองสัตว์จัตุบาทหรือสัตว์สี่เท้าทั้งมวลแล้ว
ยังเป็นเทพที่เป็น
นักดนตรีอีกด้วย
ยังปรากฏว่าได้เคยร่วมนาฏกรรมรำฟ้อนกับองค์พระศิวะบ่อย ๆ
โดยรับหน้าที่ตีตะโพนคอยให้จังหวะในขณะที่องค์พระศิวะร่ายรำระบำฟ้อน ในวโรกาสสำคัญ
ๆต่าง ๆ
และนนทิโคพิเศษที่เป็นพาหนะประจำองค์พระศิวะและเป็นหัวหน้าเทพบริวารของพระศิวะนี้ยังมีความสำคัญอีกมากมายที่ทำให้บรรดามวลมนุษย์ที่บวงสรวงบูชาพระศิวะนั้น
ก็จึงได้นิยมบวงสรวงบูชาโคนนทิด้วย โดยยกย่องให้เป็นโคพิเศษ
เป็นโคศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบเสมือนกับเป็นสัญลักษณ์แห่งพระศิวะมหาเทพ
ดังนั้นการที่ชาวฮินดูไม่นิยมฆ่าวัวก็เป็นเพราะเคารพยกย่องและบูชาโคนนทิ
ซึ่งเป็นโคศักดิ์สิทธิ์สำหรับมวลมนุษย์นั่นเอง ตามเทวลัยหลาย
ๆแห่งของลัทธิไศวนิกาย
ก็จะปรากฏว่ามีการสร้างรูปเคารพของวัวนนทิไว้ให้ชาวบ้านชาวเมืองได้มาสักการะบูชาด้วย
ที่ประทับ
พระศิวะนั้น
ทรงประทับอยู่บนยอดเขาไกรลาส เปรียบเสมือนเป็นวิมารของพระองค์
ตามคัมภีร์นั้นได้บันทึกไว้ว่า
พระศิวะเสด็จมาเยือนมนุษย์โลกหนึ่งครั้งเท่านั้นในแต่ละปี
วันที่จะเสด็จลงมาจากยอดเขาไกรลาสนั้น คือวันขึ้น 7
ค่ำ เดือนอ้าย และพอถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย
ก็จะเสด็จกลับสู่ยอดเขาไกรลาสซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์
พระมเหสี
พระศิวะทรงมีเอกอัครมเหสีคือ พระแม่อุมามหาเทวี
หรือชาวฮินดูนิยมเรียกกันว่าพระนางปาราวตี ซึ่งเป็นอิตถีเทพ ที่งดงามเป็นยิ่งนัก
และยังเป็นเทพเทวีที่มีผู้คนนิยมบวงสรวงบูชามากมายว่าเทพนารีองค์อื่นองค์ใด
พระแม่ปราวตีหรือพระแม่อุมามหาเทวีนี้นั้น
เป็นมเหสีคู่พระทัยของพระศิวะ ซึ่งปรากฏอยู่ในทุกคัมภีร์ทุกตำราเลยทีเดียว
ด้วยเพราะพระศิวะนั้นไม่ปรากฏว่าจะมีพระชายาอีกมากมายดังมหาเทพองคือื่น ๆ
พระศิวะมีเพียงพระคงคาและพระนางสนธยาเท่านั้นที่เป็นพระชายาคู่บารมีอีก
2 พระนาง
พระแม่คงคานั้นแต่เดิมก็เป็นพระชายาองค์รอง ๆของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ
ซึ่งเมื่อได้มีเรื่องมีราวขัดแย้งบาดหมางกันระหว่างบรรดาพระชายาพระวิษณุ
จนก่อเหตุให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจ
พระวิษณุจึงได้นำพระแม่คงคามาถวายให้เป็นพระชายาของพระศิวะ
และพระแม่คงคานั้นโดยแท้จริงแล้วเป็นพระพี่นางของพระแม่อุมาอัครมเหสีของพระศิวะอีกด้วย
ส่วนพระนางสนธยานั้นเป็นธิดาของพระพรหม
มหาเทพอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีความผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
จนเป็นเหตุให้พระพรหมผู้เป็นบิดาทรงกริ้วนัก
และปรารถนาที่จะลงโทษพระธิดาสนธยาอย่างหนัก
ซึ่งพระธิดาก็เกรงกลัวที่จะถูกลงโทษทัณฑ์
จึงได้แปลงกายเป็นนางเนื้อหลบลี้หนีพระบิดาไปเสีย
พระพรหมเองก็ไม่ยอมลดละ
ด้วยความกริ้วถึงกับนิรมิตองค์เป็นกวางตามนางเนื้อไปในทันที
พระศิวะได้ทรงบังเอิญมาพบเห็นเข้า ก็จึงได้มีความเห็นใจพระธิดาสนธยา
ครั้นจะห้ามปรามพระพรหมผู้เป็นบิดาของพระนางสนธยาก็ดูจะกระไรอยู่
จึงได้ยับยั้งความกริ้วของพระพรหมในครั้งนั้นด้วยการแผลงศรไปถูกเศียรกวางขาดกระเด็น
เมื่อพระพรหมกลับคืนมาสู่ร่างเดิม
ก็จึงได้คลายความโกรธ และพระศิวะก็ได้พูดคุยกับพระพรหมให้ยกโทษให้กับพระธิดา
และการขออภัยโทษแก่พระนางสนธยานั้นคงจะไม่เป็นการสำเร็จโดยง่าย
พระศิวะจึงได้ใช้วิธีทูลขอพระนางสนธยามาเป็นพระชายา
ด้วยความเกรงอกเกรงใจกัน
พระพรหมจึงได้ยินดียกพระธิดาให้ไปเป็นพระชายาของพระศิวะ
ด้วยเหตุนี้เองที่พระธิดาสนธยาจึงไม่ต้องถูกพระบิดาลงโทษ
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่มีพระชายาเพิ่มขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นเพราะพระศิวะออกไปแสวงหาด้วยความมากรักหลายใจแต่อย่างใด
พระโอรส
พระศิวะทรงเป็นพระบิดาของพระพิฆเนศวรและพระขันธกุมาร
พระโอรส 2
พระองค์นี้ประสูติจากพระนางปาราวตี หรือพระแม่อุมา อัครมเหสีคู่บารมี
ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าพระศิวะจะทรงมีโอรสธิดากับพระชายาอื่น ๆอีกหรือไม่
พระโอรส 2
พระองค์ของพระศิวะนั้นก็ไม่ใช่เทพธรรมดาๆแต่ทว่ามีความสำคัญต่อสวรรค์และโลกมิใช่น้อย
พระพิฆเนศวรทรงเป็นมหาเทพที่มีเศียรเป็นช้างมีงาเดียว
บรรดาพวกศิลปินทั้งหลายล้วนนับถือบูชาพระพินเณศวรกันเป็นที่แพร่หลายจนถึงในปัจจุบัน
และกว้างขวางไปทั่วโลกด้วย แม้แต่ในบ้านเราก็สักการะบูชาพระพิฆเนศวรกันมิใช่น้อย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระมหากษัตริย์ทรงเปี่ยมพระอัจฉริยภาพทางศิลปการประพันธ์ก็ยังทรงนับถือพระพิฆเนศวร
ได้ทรงโปรดให้สร้างเทวาลัยคเณศร์ ณ ศูนย์กลางของพระราชวังสนามจันทร์
สำหรับบวงสรวงบูชาให้เป็นสิริมงคลและเป็นเสมือนศาลเทพารักษณ์แห่งพระราชวังสนามจันทร์ด้วย
ส่วนพระขันทกุมารนั้นทรงเป็นเทพแห่งสงครามมีรูปลักษณ์เป็นเทพที่งามสง่าแฝงไว้ด้วยความห้าวหาญชาญชัยในลักษณะของนักรบ
ชาวอินเดียจะสักการะบูชาพระขันทกุมารในช่วงเดือน 5
ขึ้น 6 ค่ำ ซึ่งเรียกกันว่า
พิธีกรรตติเกยะ อันเป็นพิธีกรรมที่มีเพียงแต่บวงสรวงบูชาและมีระบำรำฟ้อนตัวเทพการบูชาเทพองค์อื่นๆ
เพราะการบูชาพระขันทกุมารนี้จะมีการละเล่นเป็นเกมกีฬาและกรีฑาหลากหลายประเภทที่จะมุ่งเน้นการแข่งขันที่แสดงความแข็งแรงและเชี่ยวชาญทางอาวุธ
เช่น การยิงธนู เป็นต้น
สำหรับพระธิดานั้น
บางคัมภีร์บันทึกว่าพระศิวะไม่ได้ทรงมีลูกสาวเลยแม้แต่องค์เดียว
แต่บางคัมภีร์ระบุว่าพระศิวะมีลูกสาวองค์เดียวคือ
พระนางมาริษาหรือมนสาเทวี อิตถีเทพผู้เป็นที่กล่าวขวัญกันว่างดงามเป็นยิ่งนัก
แต่ทว่าในคัมภีร์ก็กล่าวว่าพระธิดาองค์นี้จะประสูติจากพระมเหสีองค์ใดของพระศิวะก็มิอาจทราบได้
เพราะมิได้ปรากฏหลักฐานอันใด จึงมีการสันนิษฐานกันว่า
อาจจุติมาจากการที่พระศิวะทรงนิรมิตเสกสรรขึ้นมาเองก็เป็นได้
และไม่มีทางที่พระนางมาริษาจะเป็นธิดาของพระศิวะที่ประสูติจากพระนางปาราวตีหรือพระแม่อุมาเพราะมีเรื่องร่ำลือกันว่า
พระนางมาริษาไม่ค่อยถูกชะตากับพระอัครมเหสีของผู้เป็นพระบิดาเท่าใดนัก
พระนางมาริษากับพระนางปาราวตีมีเรื่องขัดแย้งกันบ่อย
ๆจนฝ่ายอ่อนเยาว์กว่าได้ตัดสินใจเสด็จลงมาประทับบนโลกและสถิตย์อยุ่ในฐานะเทพนารีที่ประทานพรต่อมนุษย์
จึงมีผู้คนนิยมสักการะบูชากันไม่น้อยในเวลาต่อมา
ในบางคัมภีร์ก็ยังระบุว่า
พระศิวะมีลูกสาวอีกองค์หนึ่งคือ พระนางเนตาเทวี
และก็มิได้บ่งบอกไว้เช่นกันว่าพระมารดาของพระนางเนตาเทวีคือใครกันแน่
แต่ถึงอย่างไรเรื่องราวของพระนางเนตาเทวีก็มิค่อยปรากฏบทบาทใด
ๆมากนักในแวดวงเทพเทวะ
โดยทั่วไปมักจะมีความเชื่อกันแต่เพียงว่า
พระศิวะทรงมีลูกชาย 2
องค์เท่านั้นคือพระพิฆเณศวรกับพระขันทกุมารนั่นเอง
บริวาร-กุเบร หรือท้าวเวสสุวรรณ
พระกุเบร ยักษ์ผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สิน
พระกุเบร คนไทยเรียก
ท้าวกุเวรหรืออีกนัยหนึ่งว่า ท้าวเวสสุวรรณ
ถือเป็นบริวารคนสนิทของพระศิวะอีกคนหนึ่ง
ทรงเป็นเทพเจ้าผู้พิทักษ์ดินแดนทางเหนือแห่งจักรวาล เป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ทรงเป็นกษัตริย์แห่งยักษ์
ครองเมืองอัลกา ซึ่งอยู่ใกล้เทือกเขาหิมาลัย
ว่ากันว่า
พระกุเบรนั้นมีผิวพรรณเป็นสีทองคำเหมือนกับรัศมีของ ดวงอาทิตย์
ทรงภูษาชั้นในด้วยผ้าสีแดง ชั้นนอกเป็นสีขาว สร้อยพระศอเป็นเหรียญทองคำ
ทรงประดับเพชรพลอยเต็มพระองค์ พาหนะส่วนพระองค์คือ จิ้งจอกทองคำ
ทำหน้าที่เดียวกับพระลักษมีเทวี(ในแง่ของการอำนวยโชคและทรัพย์สินเงินทอง)ทรงมีพุงพุ้ย
ทรงมี 2 กร
พระกรขวาทรงถือนิธิส (ถุงใส่เงินทอง)พระกรซ้ายถือตะบอง บางแห่งบอกมี 4 กร โดยเพิ่มหม้อน้ำกมันทลุ
และผลมะนาวหรือแก้วสารพัดนึก ลักษณะพิเศษประจำพระองค์คือ ฟัน 8 ซี่ และมี 3 ขา
เรื่องราว
ของพระกุเบรเกี่ยวพันกับการจุดประทีป โดยเฉพาะการถวายแสงสว่างแก่พระศิวะ
ก่อนหน้าที่จะมาเป็นพระกุเบรนั้น
เขาเป็นลูกของพราหมณ์ญาณทัตตะในแคว้นกัมปิลยะ
พราหมณ์ผู้นี้รอบรู้ในพิธีการและพระเวทเป็นอย่างดี ในขณะที่พราหมณ์คุณนิธิ ผู้เป็นลูกชายนั้นมีนิสัยตรงข้ามกับพ่อโดยสิ้นเชิง
ชอบเที่ยวเตร่ เฮฮา ดื่มเหล้า ให้ร้ายป้ายสีคนอื่น ลักขโมย
เล่นการพนันและติดสาวโสเภณี ผู้เป็นพ่อจับนิสัยลูกได้
จึงตัดขาดจากการเป็นพ่อลูกทันที
พราหมณ์คุณนิธิกลายเป็นคนพเนจรไร้ซึ่งทรัพย์สินใด
ๆวันนั้นยังไม่มีอาหารใด ๆตกถึงท้อง และเขานั่งตัดพ้อต่อว่าชีวิตครั้งใหญ่
ระหว่างนั้น
เขาเห็นเหล่าสาวกที่ศรัทธาในพระเป็นเจ้าได้นำเครื่องสังเวยไปบูชาพระศิวะในวันศิวาราตรีเมื่อเขาได้กลิ่นอาหารอันโอชะ
เขาคิดช่องทางว่า หากสาวกเหล่านั้นหลับสนิทเมื่อไหร่
จะขโมยอาหารเหล่านั้นมากินแก้ความหิว
หลังจากเหล่าสาวกสิ้นสุดพิธีบวงสรวง
ต่างแยกย้ายกันเข้านอนพราหมณ์หนุ่มเริ่มดำเนินการตามความตั้งใจไว้ทันที
เป็นจังหวะเดียวกับที่แสงไฟที่ตะเกียงบนแท่นบูชาพระศิวะริบหรี่ลง
พราหมณ์หนุ่มก็เลยตัดสินใจฉีกชายเสื้อมาเป็นไส้ตะเกียง ไม่ใช่เพราะว่า
ศรัทธาในพระเป็นเจ้าหรืออะไรทั้งสิ้น
แต่เป็นเพราะอยากเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ชัดเจนขึ้น
หลังจากนั้นเขาได้รีบฉกฉวยเอาอาหารรสเลิศและวิ่งออกจากเทวาลัยทันที
ระหว่างที่เร่งรีบนั้น ไม่ทันระวังไปเหยียบเอาสาวกพระศิวะที่นอนอยู่คนหนึ่งเข้า
ความเลยแตก เกิดการโวยวายขึ้นมา พวกสาวกทั้งหลาย เห็นชายแปลกหน้ามาขโมยของที่เขานำมาถวายต่อพระเป็นเจ้าก็โกรธเป็นกำลัง
เข้ารุมทำร้ายชายแปลกหน้า จนล้มตายตรงหน้า
ยมฑูตมารับเอาดวงวิญญาณของพราหมณ์คุณนิธิ
ขณะนั้นบริวารแห่งพระศิวะเทพได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าฑูต
"ข้าแต่ท่านยมฑูต
ขอให้ปลดปล่อยดวงวิญญาณพราหมณ์หนุ่มผู้นี้เสียเขาไม่สมควรถูกท่านนำไปลงโทษ
เพราะบาปทั้งหมดของเขาได้หมดสิ้นไปแล้ว"ยมฑูตเกิดความสงสัยเป็นกำลัง
จึงถามว่า
"ข้าแต่บริวารแห่งคณะผู้ยิ่งใหญ่
เขาผู้นี้เป็นพราหมณ์ที่ประพฤติชั่วร้ายมากทำลายประเพณีและวัฒนธรรมแห่งครอบครัวของพราหมณ์
ทำลายชื่อเสียงวงค์ตระกูลแห่งบิดา-มารดาเขาไม่ปฏิบัติกิจแห่งพราหมณ์ไม่ได้ชำระร่างกายทางศาสนาในครั้งนี้เขาทำบาปมหันต์ด้วยการขโมยอาหารของพระเป็นเจ้า"
บริวารแห่งพระศิวะได้ฟังถ้อยความของยมฑูต
จึงสำรวมจิตถึงพระเป็นเจ้าและตอบคำถามดังนี้
"ข้าแต่ท่านยมฑูต
พระศิวะเทพเป็นผู้ทรงธรรมยิ่งใหญ่ต่อเหล่าบริวารแห่งพระองค์อย่างตลอดกาล
ทำไมบุตรแห่งพราหมณ์ญาณทัตตะผู้นี้จึงได้เชื่อว่าหลุดพ้นจากบาปทั้งปวง
พราหมณ์หนุ่มผู้นี้ด้วยต่อเชื้อเพลิงให้สว่างขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจด้วยเศษผ้าแม้ว่าจะเป็นการกระทำ
เพียงเล็กน้อยแต่ทว่ายิ่งใหญ่
เขาได้นั่งรอเวลาเพื่อให้ความดึกสงัดเข้าครอบคุมเทวาลัยระหว่างนั้น
เขาได้นั่งฟังสวดสรรเสริญถึงพระนามแห่งศิวะเทพตลอดพิธีบวงสรวง
อาหารที่เขาขโมยมานั้นยังไม่ตกถึงท้องแม้แต่น้อยด้วยเหตุนี้
เขาจะต้องเดินทางไปยังศิวะโลกพร้อมกับเรา เพื่อรับผลบุญนี้เป็นเวลาหนึ่งก่อน
ขอให้ท่านปลดปล่อยดวงวิญญาณนี้
และเดินทางกลับสู่ยมโลกเพื่อทราบทูลต่อพระยายมราชถึงเหตุนี้"
พระยายมราช เมื่อทราบความทั้งหมด
ทรงมีรับสั่งว่า
"พวกเจ้าทั้งหลายจงฟังคำสั่งของข้าให้ดีทุกคนขอให้เจ้าทุกคนละเว้นจากบุคคลทั้งหลาย
ผู้เจิมหน้าผากด้วยเครื่องหมายตรีปุณทร (เครื่องหมายสามขีด)ด้วยขี้เถ้าสีขาว
ละเว้นผุ้สวมใส่เทวรูปแห่งศิวะเทพ ผู้สวมใส่ประคำรุทรักษะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด
จงอย่านำวิญญาณเหล่านี้มายังยมโลก"
หลังจากพราหมณ์หนุ่มได้เสวยสุขในศิวะโลกชั่วระยะหนึ่ง
ได้ถือกำเนิดเป็นโอรสแห่งกษัตริย์อรินทัมแคว้นกลึงคะ
ตั้งอยู่ในคุณความดีและเป็นสาวกแห่งพระศิวะเทพ
ตลอดชีวิตของการเป็นกษัตริย์ได้สร้างวัด ซึ่งประดับประดาด้วยดวงประทีป
ตลอดทั้งแว่นแคว้นของพระองค์แสงสว่างไม่เคยขาดช่วงเลย
ด้วยการปฏิบัตินี้จึงทำให้พระองค์มีสมบัติมากมายเพิ่มทวีคูณมากขึ้น
หลังสิ้นพระชนม์ชีพ ด้วยแสงสว่างจากดวงประทีปที่ประกอบต่อเนื่องมาตลอดช่วงที่มีชีวิตอยู่
ยังผลให้พระองค์ไปบังเกิดเป็นท้าวกุเบร
กษัตริย์ยักษ์แห่งแคว้นอัลกามีพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า ประภา
คราวหนึ่งกษัตริย์แห่งอัลกาผู้นี้
ได้เข้มงวดในสมาธินานถึง 2 พันปี
พระศิวะเทพและพระนางปราวตีปรากฏตรงหน้าแสงสว่างประดุจพระอาทิตย์พันดวงทำให้พระกุเบรมิอาจชื่นชมพระบารมีแห่งพระศิวะได้กระจ่างตา
เพียงมหาเทพวางพระหัตถ์แตะบนร่างของพระกุเบรนั้น
ทำให้เขามีพลังพอที่จะชื่นชมในพระบารมีแห่งมหาเทวะได้
พระกุเบรเห็นพระแม่อุมาครั้งแรก
จึงรำพึงกับตัวเองว่า
"เป็นพระองค์ใดเล่า
ที่ทรงประทับยืนเคียงข้างพระองค์ผู้เป็นใหญ่ ทรงมีพระรูปโฉมงดงามมาก
ยากจะหาหญิงใดมาเทียบเท่า พระนางประกอบสมาธิอันใดเล่า
ถึงมีพระบุญญาธิการยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้
"พระกุเบรได้รำพึงกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาจ้องมองพระนางอุมาด้วยความอิจฉาในบุญญาธิการจนดวงตาด้านซ้ายของเขาระเบิดออกมา
"ข้าแต่เทวะ
ทำไมชายชั่วผู้นี้ พระองค์ทรงให้พรต่อการทำสมาธิของเขา
เขาได้จ้องมองข้าพเจ้าด้วยดวงตาข้างขวาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความฉงนสงสัยเขารู้สึกต่อข้าพเจ้าอย่างไรกันแน่
โปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบด้วยเถิดเพคะ"
พระแม่เจ้าตรัสถามพระศิวะเทพผู้เป็นสวามี
พระองค์ทรงหัวเราะเมื่อได้ยินคำถามจากพระชายา
"โอ
อุมาเทวีเขาผู้นี้เปรียบได้กับโอรสของนาง เขาไม่ได้จ้องมองนางตามที่นางคิดโกรธหรอก
เขาเพียงพรรณาถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจแห่งสมาธิของนางเท่านั้น"
พระศิวะเทพกล่าวตอบนางผู้เป็นชายา
และหันไปตรัสกับพราหมณ์หนุ่มผู้นี้ว่า
"ลูกรักข้ายินดีและพอใจอย่างมากต่อการทำสมาธิระลึกถึงข้า
ข้าจะมอบพรอันวิเศษตามที่เจ้าปรารถนาอยากได้
เจ้าจะได้เป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในจักรวาลและจะได้เป็นเทพเจ้าแห่งพวกคุหยักษ์
เจ้าจะได้เป็นกษัตริย์แห่งพวกยักษ์ ,กินนรและเจ้าผู้ปกครองคนทั่วไป
เจ้าจะเป็นผู้นำแห่งพวกบุณยะญาณ เป็นเทพเจ้าผู้ประทานทรัพย์สินเงินทองแก่จักรวาล
อันสัมพันธ์ของเจ้ากับตัวข้านั้นจะอยู่ชั่วกาลปวสาน
ข้าจะอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าตลอดกาล
จะอยู่ในแคว้นของเจ้าและจะปกป้องคุ้มครองดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิดเหมือนบริวารคณะของข้าทีเดียว
บุตรแห่งพราหมณ์ญาณ ทัตตะ ผู้เป็นสาวกของข้า ขอให้เจ้าเข้ามาใกล้
ๆพระแม่องค์นี้คือ พระมารดาของเจ้า จงน้อมกราบพระบาทของนางด้วยความเคารพบูชา"
เมื่อรับฟังคำแห่งพระสวามี
พระแม่ปราวตีมารดาแห่งจักรวาลทรงมีรับสั่งต่อบุตรพราหมณ์ด้วยถ้อยคำอันไพเราะว่า
"ลูกชายที่รัก ขอให้กราบไหว้บูชาพระศิวะมหาเทพตลอดกาล
ด้วยดวงตาข้างซ้ายของลูกที่แตกออกมานั้นเจ้าจงมีชื่อว่า พระเอกปิงคะ
(ผู้มีเครื่องหมายสีเหลืองอยู่ที่ดวงตาข้างซ้าย)ขอให้พรอันยิ่งใหญ่ที่เทพเจ้าแห่งจักรวาลที่ทรงประทานให้ไว้
จงสัมฤทธิ์ผลโดยเร็วและมั่นคงตลอดกาล เจ้าจะถูกขนานนามว่า ท้าวกุเบร (จุดไฟ,ผู้มีรูปร่างผิดแปลกจากผู้อื่น)"
หลังจากที่มหาเทพและมหาเทวีให้พรแก่ท้าวกุเบรแล้ว
ทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับเขาไกรลาศ ส่วนดินแดนของท้าวกุเบรนั้นอยู่ในเมืองอัลกา
ซึ่งอยู่ใกล้กับเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งคนไทยเรียกกันว่า เขาไกรลาศ นั่นเอง
โดยเฉพาะท้าวกุเบรนั้น
ชาวธิเบตนับถือกันมาก เพราะเป็นเทพเจ้าที่อุดมด้วยทรัพย์สิน
มีคุณสมบัติดุจเดียวกับพระลักษมีเทวี การผูกเทวปกรณ์ในบางเรื่องของชาวฮินดูนั้น
ในบางแห่งว่ากันว่า ท้าวกุเบรมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นลูกรักของลักษมีเทวีด้วย
นั่นแสดงให้เห็นถึงตำนานที่ผูกแต่งกันไป อันเมืองอัลกา ของท้าวกุเบรนั้น
แท้ที่จริงก็คือเมืองหน้าด่าน
ที่ทุกคนจะต้องถูกตีตราตรวจสอบก่อนเข้าเฝ้าศิวะเทพที่เขาไกรลาศ นั่นเอง
เทพแห่งการร่ายรำ
พระศิวะเป็นมหาเทพที่ค่อนข้างจะอยู่ในแนวของศิลปินมากกว่าเทพองค์อื่น
ๆ
บรรดาทวยเทพทั้งปวงต่างกล่าวขวัญกันถึงอารมณ์ศิลป์ของพระศิวะว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
เป็นต้นว่าในเรื่องของการแต่งองค์ทรงเครื่อง
พระศิวะก็ไม่ค่อยจะโปรดแต่งองค์ด้วยเครื่องทรงอันหรูหราตระการตาดั่งราชันย์
ไม่โปรดที่จะประดับแก้วแหวนเงินทองพราวระยับจับตาดั่งเทพส่วนใหญ่
พระศิวะทรงโปรดที่จะแต่งตัวปอน
ๆห่มหนังสัตว์มุ่นพระเกศาไว้รวก ๆมีงูเป็นดั่งสังวาลย์สาย
พระองค์ชอบที่จะไปนั่งบำเพ็ญภาวนาตามป่าช้าที่เต็มไปด้วยเงาของภูตพรายสารพัน
นอกจากสไตล์ของพระองค์ที่ค่อนไปทางศิลปินผู้สมถะและใฝ่สันโดษแล้ว
พระศิวะยังทรงเป็นศิลปินแท้
ๆที่ได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นเจ้าของตำรับการร่ายรำระบำฟ้อนแห่งอินเดียเลยก็ว่าได้
ด้วยเพราะทรงเป็นเทพแห่งศิลปการร่ายรำ
ปางหนึ่งของพระศิวะที่แสดงถึงฐานะของพระองค์ชัดเจนจึงเป็นปางที่ถือได้ว่าเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนัก
ปางนั้นก็คือปางนาฏราช (nataraja)
ในตำนานเล่าว่า
พระศิวะทรงชักชวนพระนารายณ์ปลอมแปลงโฉมเป็นสามี-ภรรยากันไป ณ
ป่าแห่งหนึ่งเพื่อกำราบเหล่าดาบสที่ไม่ตั้งตนบำเพ็ญตบะและบูชาเทพอย่างที่ควร
ดาบสกลุ่มนั้นประพฤติตนเหลวไหล ใฝ่ไปในทางชั่วมากกว่าจะอยู่ในศีลในธรรม
เมื่อทั้ง 2
มหาเทพไปปรากฏตัวในป่านั้นในฐานะของโยคีหนุ่มกับภรรยาสาว
(พระนารายณ์ทรงปลอมเป็นภรรยาพระศิวะ)
เหล่าดาบสผู้มากกิเลสตัณหาก็พากันมาเวียนวนเกี้ยวพาราสีสาวงามภรรยาของโยคีหนุ่ม
โดยไม่สนใจหรอกว่านางเป็นผู้มีคู่มีเจ้าของแล้ว
บรรดาเมียๆของดาบสต่างก็ไม่วางตนว่าไม่โสดแล้วต่างก็พากันมาให้ท่าทอดสะพานโยคีรูปงามกันมิเว้นวาย
เวลาผ่านไป
ก็ไม่มีดาบสผู้ใดพิชิตภรรยาสาวของโยคีได้ ความพิศวาสจึงได้กลายเป็นความเคืองแค้น
เหล่าดาบสจึงพากันสาปแช่งโยคีและเมียรักให้มีอันเป็นไป
แต่ทว่าคำสาปนั้นหลับไม่เกิดผลใด ๆทั้งสิ้น
พวกดาบสนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าโยคีนั้นคือพระศิวะและภรรยานั้นคือพระนารายณ์
อิทธิฤทธิ์เวทมนตร์ใดๆก็มิอาจกล้ำกรายผู้เป็นเทวะได้แน่นอน แต่ด้วยความไม่รู้นั้น
จึงยังทำพวกดาบสกำเริบเสิบสานต่อไป
พวกดาบสส่งยักษ์ชื่อมุยะละกะมาปราบ
พระศิวะก็ทรงสำแดงฤทธิ์เดช ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบอกยักษ์ไว้
แล้วก็ทรงร่ายรำไปในลีลาอันวิจิตรพิสดารยิ่งนัก บรรดาดาบสทั้งหลายจึงยอมศิโรราบ
กราบขอขมาต่อพระศิวะโดยดีเมื่อได้ตระหนักว่าตนกำลังอหังการกับมหาเทพเสียแล้ว
ณ เทวาลัยในเมืองจิทัมพรัม
ได้มีรูปพระศิวะในท่าร่ายรำต่าง ๆถึง 108 รูปด้วยกัน
บรรดาผู้ที่สักการะบูชาพระศิวะมักจะไปบูชาพระศิวะ ณ
เทวาลัยแห่งนั้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี
ตามตำนานโบราณกล่าวว่า
เมื่อพระศิวะทรงตีกลองเป็นจังหวะอันไพเราะ
โลกใบนี้ได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะกลองนั้นด้วย และเมื่อพระศิวะทรงร่ายรำเคลื่อนไหวพระองค์และพระกรพลิ้วไป
ก็เป็นเหตุให้บังเกิดสุริยจักรวาลขึ้นในบัดนั้นเอง
นักระบำของอินเดียจะต้องร่ายรำในท่าบูชาพระศิวะก่อนเสมอ
แล้วจึงค่อยร่ายรำในท่าอื่นๆต่อไป
สำหรับท่ารายรำทั้ง 108 ท่าของพระศิวะนั้น
ล้วนเป็นท่าที่ต้องใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา
ข้อมือ เท้า เอว อก สะโพกหรือแม้แต่กล้ามเนื้อรอบดวงตา
ลีลานาฏศิลป์แบบพระศิวะนั้นทั้งงดงามและน่าเกรงขาม
นอกจากนี้
นาฏลีลาของพระศิวะนั้นเป็นต้นแบบของท่าฟ้อนรำแบบไทย ๆเราด้วย
ซึ่งได้นำท่าของพระศิวะมาประยุกต์ดัดแปลง เช่นเดียวกับท่าร่ายรำระบำฟ้อนของอีกหลาย
ๆประเทศ ซึ่งได้ยอมรับว่ามีต้นแบบมาจากนาฏลีลาของพระศิวะเป็นส่วนมาก
ผู้ที่เป็นศิลปินในแขนงการเต้นรำหรือฟ้อนรำมักจะนิยมบูชาขอพรจากพระศิวะให้เกิดความรุ่งเรืองในชีวิต
ด้วยการบูชาพระศิวะด้วยดอกลำโพง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น