วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

ตำนานพระศิวะ พระอิศวร


                              พระศิวะทรงเป็นมหาเทพผู้เป็นใหญ่ในจักรวาล พระองค์จะทรงประทานพรวิเศษให้แก่คนผู้หมั่นกระทำความดี และยึดมั่นในศีลธรรมเท่านั้น หากผู้ใดประพฤติเพื่ออุทิศถวายแก่พระองค์แล้วปรารถนาสิ่งวิเศษใด ๆ ก็ให้พรนั่น พระศิวะจะประทานสิ่งวิเศษให้ในไม่ช้า แต่เมื่อได้พรสมปรารถนาแล้ว วันหน้าหากกระทำผิดไปจากความดีงามคนผู้นั้นจะเกิดวิบัติในชีวิต พระศิวะเทพผู้จะกลายเป็นเทพผู้ทำลายทันที

มีความเชื่อกันว่าพระศิวะนั้นสามารถช่วยปัดเป่ารักษาเยียวยาอากาศเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆได้อย่างมหัศจรรย์นัก
หากผู้ใดที่เจ็บป่วยหรือต้องการขอพรให้คนในครอบครัวหายเจ็บไข้ได้ป่วย หากบวงสรวงบูชาและขอพรจากพระศิวะ ก็มักปรากฏว่าความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นจะถูกปัดเป่าให้หายไปได้โดยสิ้นในเร็ววัน

ผู้ที่มีความทุกข์ไม่ว่าจะเป็นในทางใด หากบวงสรวงบูชา ขอพรให้พ้นทุกข์ พระศิวะก็จะประทานพรให้ผู้นั้นได้พ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ได้เช่นกัน

เป็นที่กล่าวขวัญกันโดยทั่วไป พระศิวะนั้นเป็นเทพที่จะอำนวยพรประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงวัว เลี้ยงม้า หรือเลี้ยงแกะ หรือแม้แต่พกที่ทำอาชีพเกี่ยวกับการเกษตรทั้งปวง ก็จะมีความสำเร็จและมีความสมบูรณ์พูนสุขได้ หากบวงสรวงบูชาพระศิวะเพื่อขอความอุดมสมบูรณ์

ชาวบ้าน ชาวเมืองยังนิยม ยังเชื่อกันว่าพระศิวะนั้นเป็นเทพที่จะคอยขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ห่างไกลและจะทำให้เกิดความดีงามเป็นศิริมงคลเกิดขึ้นในชีวิต ในครอบครัว

นอกจากบทบาทความสำคัญโดยรวมที่กล่าวมาแล้วนั้น อีกบทบาทหนึ่งที่เด่นชัดแยกออกไปจากบทบาทของการเป็นมหาเทพผู้ทรงมีพระมหากรุณาประทานพรแก่มวลมนุษย์นั้น

พระศิวะยังทรงเป็นเทพแห่งคีตา คือเป็นเทพเจ้าแห่งการดนตรีและการรำฟ้อนทั้งปวงอีกด้วย

ปฐมบท

ตรีมูรติหรือผู้เป็นเจ้าทั้งสาม ที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งนิรันดร์นั้น เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของศาสนาฮินดู ซึ่งจะมีตัวอักษร 3 ตัว อันศักดิ์สิทธิ์ที่ เรียกเรียกกันว่า "โอม"
อักษรศักดิ์สิทธิ์ "โอม" นั้นประกอบด้วยอักษร 3 ตัวคือ

อะ
หมายถึง พระวิษณุหรือพระนารายณ์
อุ
หมายถึง พระอิศวรหรือพระนารายณ์
มะ
หมายถึง พระพรหม

พยางค์ศักดิ์สิทธิ์คำว่า "โอม" นี้ มักจะเขียนเป็นอักษรเทวนาครี ซึ่งได้บ่งบอกถึงตรีมูรติหรือ 3 มหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในศาสนาฮินดู

ในคัมภีร์ของพราหมณ์นั้น กล่าวถึงพระศิวะว่าทรงเป็นมหาเทพซึ่งมีผู้นิยมนับถือบูชากันแพร่หลายและกว้างขวางมากกว่าเทพองค์อื่น ๆ

กำเนิดของพระศิวะนั้น ปรากฏ เป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละยุคดังนี้

ยุคพระเวท
เรื่องก็มีอยู่ว่าพระพรหมนั้นเกิดความรำคาญอกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งนักที่พระเสโทหรือเหงื่อผลุดซึมทั่วพระวรกายและยังไหลรินย้อยลงทั่วบริเวณพระพักตร์อีกด้วย ในวันอันร้อนอ้าวเช่นนั่น พระพรหมทรงบำเพ็ญภาวนา เพิ่มตบะบารมีให้แกร่งกล้าอย่างมุ่งมั่นเมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวนด้วยเหงื่อเช่นนั้นก็จึงได้นำเอาไม้ไปขูด ๆที่บริเวณพระขนงหรือคิ้ว โดยมิได้ระมัดระวังองค์นัก คมของไม้นั้นจึงได้บาดบริเวณพระขนงของพระองค์จนกระทั่งปรากฏพระโลหิตผลุดซึมออกมาและหยาดหยดลงบนกองเพลิงเบื้องหน้าของพระองค์นั้นเอง

ทันทีที่พระโลหิตหยาดหยดลงในเปลวเพลิงก็พลันเกิดเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง จุติขึ้นมาในเปลวเพลิงนั้น ทันทีที่ถือกำเนิดขึ้นมาเบื้องหน้าพระองค์เทพบุตรผู้งดงามองค์นี้ก็ได้ร้องไห้ พลางขอให้พระองค์ประทานชื่อให้แก่ตน ซึ่งพระพรหมได้ประทานชื่อให้ถึง 8 ชื่อ ด้วยกันดังนี้

ภพ สรรพ ปศุบดี อุดรเทพ มหาเทพ รุทร อิศาล อะศะนิ

หลังจากนั้นเทพองค์นี้ก็มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นับถือของมนุษย์ทั่วไป โดยส่วนใหญ่แล้วบรรดามวลมนุษย์จะนับถือบูชาเทพบุตรองค์นี้ในนามของพระรุทรอันเป็นชื่อ ๆหนึ่งใน 8ชื่อนี้ ซึ่งนามรุทรนี้มีความหมายแปลได้ว่า ร้องไห้ แต่สำหรับชื่ออื่น ๆ อีก7 ชื่อนั้นยังไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเท่าไรนัก

ว่ากันว่าพระรุทรเทพบุตรที่มีชื่ออันแปลว่าร้องไห้นี้เป็นมหาเทพที่มีความยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีอำนาจบารมีค่อนข้างสูงนักในยุคพระเวทนี้ และยังเป็นเทพที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามนิยมนับถือบูชากันอย่างจริงจังทั่วไปโดยนับถือให้พระรุทรเป็นเทพผู้ทำลายล้าง คือทำลายสิ่งที่เลวร้ายให้สะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หรือหมายถึงการทำลายสิ่งเลวให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นใหม่



ยุคมหากาพย์ มหาภารตะ
ในยุคนี้มีความเชื่อกันในเรื่องกำเนิดพระศิวะว่า พระองค์นั้นทรงจุติออกมาจากพระนลาฏ หรือหน้าผากของพระพรหมจึงเท่ากับว่าพระศิวะก็เป็นพระโอรสองค์หนึ่งของพระองค์มหาเทพ

ยุคไตรเภท
คัมภีร์ในยุคนี้ได้บันทึกถึงกำเนิดพระศิวะว่า ทรงประสูติจากพระนางสุรภี และพระบิดาก็คือพระกัศยปะเทพบิดร

คัมภีร์พรหมมานัส
พระศิวะเป็นเทพที่กำเนิดจากพระประชาบดีมิได้เกิดจากพระโลหิตของพระพรหมดังเช่นที่มีการกล่าวไว้ในยุคพระเวท ครั้นเมื่อทรงจุติขึ้นมาแล้วเทพประชาบดีก็ถามพระโอรสว่า เหตุไฉนจึงร่ำไห้โศกาอาดูรตลอดเวลา
พระรุทรหรือเทพบุตรโอรสของพระประชาบดีที่กำลังร่ำไห้อยู่นั้น จึงได้ทูลตอบว่า เพราะว่าพระบิดาไม่ได้ตั้งชื่อให้เมื่อไม่มีชื่อก็จึงเสียใจร้องไห้เช่นนั้น พระประชาบดีจึงได้ตั้งชื่อให้โอรสองค์นี้ว่า พระรุทรซึ่งหมายถึงการร้องไห้ และพระรุทรองค์นี้ในคัมภีร์พรหมนัสได้กล่าวไว้ว่า น่าจะหมายถึงองค์ศิวะนั่นเอง

ในคัมภีร์โบราณที่ปรากฏอยู่ในหอวชิรญาณได้อธิบายถึงประวัติความเป็นมาการกำเนิดของพระศิวะไว้ว่าเมื่อโลกได้ถูกเผาด้วยไฟบรรลัยกัลป์จนพินาศโดยสิ้นแล้วนั้น ได้มีคัมภีร์พระเวทและพระธรรมบังเกิดขึ้นและเมื่อพระเวทกับพระธรรมมาประชุมรวมกันจึงได้บังเกิดเป็นมหาเทพองค์หนึ่งคือ พระปรเมศวร ในคัมภีร์นี้อธิบายการกำเนิดของพระศิวะว่าทรงสร้างพระองค์ขึ้นมาเอง หลังจากการทำลายล้างโลกโดยที่มิได้เป็นโอรสหรือจุติมาจากการนิรมิตรสร้างสรรค์ของมหาเทพองค์ใด

 รูป

รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้นมีปรากฏมากมายหลายลักษณะด้วยกัน แต่จุดเด่นที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะก็คือ รูปพระจันทร์เสี้ยวและดวงตาดวงที่ 3 บนหน้าผาก สร้อยประคำที่เป็นหัวกะโหลกและงูที่คล้องพระสอหรือคอของพระองค์อยู่นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระศิวะที่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย

เล่ากันว่า ที่มาของงูพิษที่พระศิวะทรงคล้องคอไว้ประดับองค์เป็นเอกลักษณ์พิเศษนั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียวเพราะพระองค์ไม่ได้ไปจับมาจากพงหญ่าป่าใหญ่ที่ไหน แต่มีผู้ส่งมามาให้พระองค์โดยเฉพาะ คนผู้นั้นก็คือนักบวชผู้นี้มีภรรยาหลายคนแต่บรรดาภรรยาของเขาเกิดมาหลงใหลในเสน่ห์อันล้ำลึกขององค์พระศิวะ

ด้วยความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง นักบวชจึงส่งเสือร้ายตัวโตไปจัดการสังหารพระศิวะ แต่ว่าพระศิวะเป็นกลับเป็นฝ่ายพิชิตเสือด้วยพระหัตถ์ของพระองค์อย่างสบาย ๆ แถมยังฉีกเอาหนังสือมาเป็นที่ปูพื้นไว้รองนั่งอีกด้วย

เมื่อส่งเสือมาไม่ได้ผล นักบวชผู้เคียดแค้นแสนริษยาก็อสรพิษร้ายตัวใหญ่มาจัดการพระศิวะ แต่อสรพิษร้ายกับถูกพระศิวะร่ายเวทมนต์สยบเอาไว้ได้โดยที แล้วพระองค์ก็จับเอางูพิษนั้นมาคล้องคอเป็นเครื่องประดับสุดพิศดารไม่ซ้ำแบบใคร นักบวชผู้ไม่ยอมแพ้ยังคงคิดลองของ ส่งอสูรร้ายมาสังหารพระศิวะในเวลาต่อมา
และพระศิวะก็ทรงสยบอสูรร้ายตนนั้นได้ด้วยท่าทีลีลาร่ายรำอันน่าพรั่นพรึง ซึ่งสะท้านสวรรค์สะเทือนเดิน แม้แต่บรรดาทวยเทพทั้งปวงก็พากันมาเคารพนบนอบยอมรับในความยิ่งใหญ่ของมหาเทพองค์นี้

มหาเทพองค์อื่นๆนั้น ก็ล้วนแล้วแต่รูปลักษณ์มากมายหลายรูปที่แตกต่างกันไป แต่ในรูปที่แตกต่างนั้นก็จะมีส่วนที่ละม้ายคล้ายคลึงกันบ้าง ในรายละเอียดของสีพระวรกายหรือสิ่งของที่ทรงถือไว้ในพระหัตถ์

แต่สำหรับพระศิวะนั้น กล่าวได้ว่ารูปลักษณ์ของพระองค์นั้นค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถสังเกตุได้ง่ายไม่สบสนวุ่นวายเหมือนกับจดจำรูปลักษณ์ของมหาเทพองค์อื่นๆเป็นแน่

พระศิวะนั้นเป็นเทพที่นิยมประพฤติองค์เป็นโยคีหรือผู้ถือศีล ดังนั้นรูปของพระองค์จึงมักปรากฏเป็นเทพที่ทรงเครื่องแบบที่ค่อนข้างติดดินสักหน่อย เป็นต้นว่า ทรงแต่งองค์คล้ายๆ พวกโยคะหรือพวกฤาษีสยายผมยาวแล้วม่นมวยผมเป็นชฎาบนศีรษะ ทรงนุ่งห่มด้วยหนังกวางบ้าง หนังเสือบ้าง

คัมภีร์โบราณหลายเล่มนั้น กล่าวถึงสีพระวรกายของพระศิวะแตกต่างกันไป บางคัมภีร์ระบุว่าพระวรกายของพระศิวะนั้นเป็นสีแดงเข้มราวกับเปลวไฟหรือโลหิต

บางคัมภีร์ว่าพระวรกายขององค์พระศิวะนั้นเป็นสีขาว นวล บริสุทธิ์ ดั่งสีของพระจันทร์

แต่หลายๆคัมภีร์กล่าวไว้ตรงกันว่า พระศิวะนั้นเป็นเทพที่มีพระเนตร3ดวง คือดวงที่3นั้นจะปรากฏขึ้นอยู่บนหน้าผากขององค์โดยปรากฏเป็นดวงตารูปแนวนอนบ้าง รูปตั้งทรงพุ่มช้างบิณฑ์บ้าง และดวงตาที่3 นี้สามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้อีกด้วย รูปลักษณ์ของพระศิวะนั้น มีรายละเอียดแตกต่างกันไปตามแต่ละปาง
 อาวุธ

ในปางต่าง ๆที่มีอยู่มากมายหลายสิบปางนั้น มักจะปรากฏพระกรแต่ละข้างของพระศิวะนั้นทรงถืออาวุธที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนใหญ่อาวุธที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์นั้น คือ

คฑา - ที่ที่ยอดเป็นรูปหัวกะโหลก ชื่อ ชัฏวางค์
ตรีศูล - ชื่อ ปีนาก
คันศร - ชื่อ อชคพ

นอกจากนั้นอาวุธของพระศิวะที่ปรากฏว่าทรงถืออยู่ในหลาย ๆปางหลายๆรูปลักษณ์ก็คือ บัณเฑาะว์ พระสังข์ บ่วงบาศ เปลวเพลิง พระขรรค์

พาหนะ

โคที่มีนามว่า อุศุภราช คือ โคเผือกที่เป็นพาหนะประจำขององค์พระศิวะ

โค อุศุภราช นี้บางครั้งก็มีชื่อเรียกกันไปอีกว่า โคนนทิราช ซึ่งกำเนิดที่ไม่ธรรมดาคือโคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากพ่อโค แม่โคเหมือนกับโคอื่น ๆ แต่ทว่ากำเนิดเกิดจากมหาเทพเลยทีเดียว

เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าในการกวนเกษียรสมุทรครั้งยิ่งใหญ่ของทวยเทพทั้งปวงนั้น ก็ได้มีสิ่งวิเศษเกิดขึ้นมากมายหลายสิ่งด้วยกัน และนางโคสุรภีก็เป็นของของวิเศษอีกสิ่งหนึ่งที่ได้จุติขึ้นมาจากการกวนเกษียรสมุทรครั้งนั้น

พระกัศยปะนั้นก็มีความต้องการที่จะได้นางโคสุรภีเอาไว้เป็นพาหนะประจำองค์ แต่ทรงติดอยู่เล็กน้อยที่ว่านางโคสุรภีนั้นเป็นโคเพศเมีย หากนำมาเป็นพาหนะประจำองค์นั้น ก็ทรงอยากจะได้โคเพศผู้เสียมากกว่า

ดังนั้นพระกัศยปะจึงได้นิรมิตกายเป็นพ่อโคตัวผู้แล้วก็ไปผสมพันธุ์สมสู่กับนางโคสุรภี จนกระทั่งแม่โคตั้งครรภ์และให้กำเนิดลูกออกมาเป็นโคเพศผู้สีขาวบริสุทธิ์และมีลักษณะดีตั้งตรงตำราเป็นพิเศษ พระกัศยปะจึงได้ประทานนามให้กับโคเผือกที่เป็นโอรสนั้นว่า นนทิหรือนันทิ และได้ถวายให้เป็นพาหนะประจำองค์คอยติดตามรับใช้พระศิวะมหาเทพสืบต่อมา

แต่ในบางคัมภีร์นั้นก็กล่าวถึงประวัติการกำเนิดของโคนนทิราชนี้แตกต่างออกไปด้วยกล่าวว่าแต่เดิมนั้นโคนนทิราช หรือ โคอุศุภราชนี้เป็นเทพบุตรองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ซึ่งเทพบุตรองค์นี้ก็มีนามว่านนทิ มีหน้าที่เป็นเทพที่คอยคุ้มครองดูแลบรรดาสัตว์สี่เท้าทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในป่าใกล้ๆ กับเขาไกรลาส

และเทพนนทิที่เป็นเทพที่ครองสัตว์จัตุบาททั้งปวงนั้นก็มักจะนิรมิตองค์เองให้กลายเป็นโคเผือก เพื่อให้พระศิวะได้เสด็จประทับไปยังแห่งหนต่าง ๆจนเป็นเสมือนพาหนะประจำพระองค์ไปโดยปริยาย

ซึ่งในคัมภีร์โบราณนั้นยังบันทึกไว้ด้วยว่า เทพบุตรนนทิองค์นี้ไม่ได้เป็นคู่เทพที่จะมาแปลงกายเป็นโคให้พระศิวะได้เสด็จประทับเป็นพาหนะเท่านั้น แต่พระนนทิ ก็ยังเป็นหัวหน้าแห่งเทพบริวารทั้งหลายทั้งปวงของเทพพระศิวะอีกด้วย

บางคัมภีร์กล่าวว่าพระนนทินอกจากจะเป็นเทพผู้ครองสัตว์จัตุบาทหรือสัตว์สี่เท้าทั้งมวลแล้ว ยังเป็นเทพที่เป็น
นักดนตรีอีกด้วย ยังปรากฏว่าได้เคยร่วมนาฏกรรมรำฟ้อนกับองค์พระศิวะบ่อย ๆ โดยรับหน้าที่ตีตะโพนคอยให้จังหวะในขณะที่องค์พระศิวะร่ายรำระบำฟ้อน ในวโรกาสสำคัญ ๆต่าง ๆ

และนนทิโคพิเศษที่เป็นพาหนะประจำองค์พระศิวะและเป็นหัวหน้าเทพบริวารของพระศิวะนี้ยังมีความสำคัญอีกมากมายที่ทำให้บรรดามวลมนุษย์ที่บวงสรวงบูชาพระศิวะนั้น ก็จึงได้นิยมบวงสรวงบูชาโคนนทิด้วย โดยยกย่องให้เป็นโคพิเศษ เป็นโคศักดิ์สิทธิ์ที่เปรียบเสมือนกับเป็นสัญลักษณ์แห่งพระศิวะมหาเทพ

ดังนั้นการที่ชาวฮินดูไม่นิยมฆ่าวัวก็เป็นเพราะเคารพยกย่องและบูชาโคนนทิ ซึ่งเป็นโคศักดิ์สิทธิ์สำหรับมวลมนุษย์นั่นเอง ตามเทวลัยหลาย ๆแห่งของลัทธิไศวนิกาย ก็จะปรากฏว่ามีการสร้างรูปเคารพของวัวนนทิไว้ให้ชาวบ้านชาวเมืองได้มาสักการะบูชาด้วย

ที่ประทับ

พระศิวะนั้น ทรงประทับอยู่บนยอดเขาไกรลาส เปรียบเสมือนเป็นวิมารของพระองค์ ตามคัมภีร์นั้นได้บันทึกไว้ว่า พระศิวะเสด็จมาเยือนมนุษย์โลกหนึ่งครั้งเท่านั้นในแต่ละปี วันที่จะเสด็จลงมาจากยอดเขาไกรลาสนั้น คือวันขึ้น 7 ค่ำ เดือนอ้าย และพอถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย ก็จะเสด็จกลับสู่ยอดเขาไกรลาสซึ่งเป็นที่ประทับของพระองค์

  พระมเหสี

พระศิวะทรงมีเอกอัครมเหสีคือ พระแม่อุมามหาเทวี หรือชาวฮินดูนิยมเรียกกันว่าพระนางปาราวตี ซึ่งเป็นอิตถีเทพ ที่งดงามเป็นยิ่งนัก และยังเป็นเทพเทวีที่มีผู้คนนิยมบวงสรวงบูชามากมายว่าเทพนารีองค์อื่นองค์ใด

พระแม่ปราวตีหรือพระแม่อุมามหาเทวีนี้นั้น เป็นมเหสีคู่พระทัยของพระศิวะ ซึ่งปรากฏอยู่ในทุกคัมภีร์ทุกตำราเลยทีเดียว ด้วยเพราะพระศิวะนั้นไม่ปรากฏว่าจะมีพระชายาอีกมากมายดังมหาเทพองคือื่น ๆ

พระศิวะมีเพียงพระคงคาและพระนางสนธยาเท่านั้นที่เป็นพระชายาคู่บารมีอีก 2 พระนาง พระแม่คงคานั้นแต่เดิมก็เป็นพระชายาองค์รอง ๆของพระนารายณ์หรือพระวิษณุ ซึ่งเมื่อได้มีเรื่องมีราวขัดแย้งบาดหมางกันระหว่างบรรดาพระชายาพระวิษณุ จนก่อเหตุให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจ พระวิษณุจึงได้นำพระแม่คงคามาถวายให้เป็นพระชายาของพระศิวะ

และพระแม่คงคานั้นโดยแท้จริงแล้วเป็นพระพี่นางของพระแม่อุมาอัครมเหสีของพระศิวะอีกด้วย

ส่วนพระนางสนธยานั้นเป็นธิดาของพระพรหม มหาเทพอีกพระองค์หนึ่ง ซึ่งมีความผิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนเป็นเหตุให้พระพรหมผู้เป็นบิดาทรงกริ้วนัก และปรารถนาที่จะลงโทษพระธิดาสนธยาอย่างหนัก ซึ่งพระธิดาก็เกรงกลัวที่จะถูกลงโทษทัณฑ์ จึงได้แปลงกายเป็นนางเนื้อหลบลี้หนีพระบิดาไปเสีย

พระพรหมเองก็ไม่ยอมลดละ ด้วยความกริ้วถึงกับนิรมิตองค์เป็นกวางตามนางเนื้อไปในทันที พระศิวะได้ทรงบังเอิญมาพบเห็นเข้า ก็จึงได้มีความเห็นใจพระธิดาสนธยา ครั้นจะห้ามปรามพระพรหมผู้เป็นบิดาของพระนางสนธยาก็ดูจะกระไรอยู่ จึงได้ยับยั้งความกริ้วของพระพรหมในครั้งนั้นด้วยการแผลงศรไปถูกเศียรกวางขาดกระเด็น

เมื่อพระพรหมกลับคืนมาสู่ร่างเดิม ก็จึงได้คลายความโกรธ และพระศิวะก็ได้พูดคุยกับพระพรหมให้ยกโทษให้กับพระธิดา และการขออภัยโทษแก่พระนางสนธยานั้นคงจะไม่เป็นการสำเร็จโดยง่าย พระศิวะจึงได้ใช้วิธีทูลขอพระนางสนธยามาเป็นพระชายา
ด้วยความเกรงอกเกรงใจกัน พระพรหมจึงได้ยินดียกพระธิดาให้ไปเป็นพระชายาของพระศิวะ ด้วยเหตุนี้เองที่พระธิดาสนธยาจึงไม่ต้องถูกพระบิดาลงโทษ ดังนั้นจึงเห็นได้ว่าการที่มีพระชายาเพิ่มขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นเพราะพระศิวะออกไปแสวงหาด้วยความมากรักหลายใจแต่อย่างใด

 พระโอรส

พระศิวะทรงเป็นพระบิดาของพระพิฆเนศวรและพระขันธกุมาร พระโอรส 2 พระองค์นี้ประสูติจากพระนางปาราวตี หรือพระแม่อุมา อัครมเหสีคู่บารมี ซึ่งก็ไม่ปรากฏว่าพระศิวะจะทรงมีโอรสธิดากับพระชายาอื่น ๆอีกหรือไม่

พระโอรส 2 พระองค์ของพระศิวะนั้นก็ไม่ใช่เทพธรรมดาๆแต่ทว่ามีความสำคัญต่อสวรรค์และโลกมิใช่น้อย พระพิฆเนศวรทรงเป็นมหาเทพที่มีเศียรเป็นช้างมีงาเดียว บรรดาพวกศิลปินทั้งหลายล้วนนับถือบูชาพระพินเณศวรกันเป็นที่แพร่หลายจนถึงในปัจจุบัน และกว้างขวางไปทั่วโลกด้วย แม้แต่ในบ้านเราก็สักการะบูชาพระพิฆเนศวรกันมิใช่น้อย

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ทรงเปี่ยมพระอัจฉริยภาพทางศิลปการประพันธ์ก็ยังทรงนับถือพระพิฆเนศวร ได้ทรงโปรดให้สร้างเทวาลัยคเณศร์ ณ ศูนย์กลางของพระราชวังสนามจันทร์ สำหรับบวงสรวงบูชาให้เป็นสิริมงคลและเป็นเสมือนศาลเทพารักษณ์แห่งพระราชวังสนามจันทร์ด้วย

ส่วนพระขันทกุมารนั้นทรงเป็นเทพแห่งสงครามมีรูปลักษณ์เป็นเทพที่งามสง่าแฝงไว้ด้วยความห้าวหาญชาญชัยในลักษณะของนักรบ ชาวอินเดียจะสักการะบูชาพระขันทกุมารในช่วงเดือน 5 ขึ้น 6 ค่ำ ซึ่งเรียกกันว่า พิธีกรรตติเกยะ อันเป็นพิธีกรรมที่มีเพียงแต่บวงสรวงบูชาและมีระบำรำฟ้อนตัวเทพการบูชาเทพองค์อื่นๆ

เพราะการบูชาพระขันทกุมารนี้จะมีการละเล่นเป็นเกมกีฬาและกรีฑาหลากหลายประเภทที่จะมุ่งเน้นการแข่งขันที่แสดงความแข็งแรงและเชี่ยวชาญทางอาวุธ เช่น การยิงธนู เป็นต้น

สำหรับพระธิดานั้น บางคัมภีร์บันทึกว่าพระศิวะไม่ได้ทรงมีลูกสาวเลยแม้แต่องค์เดียว

แต่บางคัมภีร์ระบุว่าพระศิวะมีลูกสาวองค์เดียวคือ พระนางมาริษาหรือมนสาเทวี อิตถีเทพผู้เป็นที่กล่าวขวัญกันว่างดงามเป็นยิ่งนัก

แต่ทว่าในคัมภีร์ก็กล่าวว่าพระธิดาองค์นี้จะประสูติจากพระมเหสีองค์ใดของพระศิวะก็มิอาจทราบได้ เพราะมิได้ปรากฏหลักฐานอันใด จึงมีการสันนิษฐานกันว่า อาจจุติมาจากการที่พระศิวะทรงนิรมิตเสกสรรขึ้นมาเองก็เป็นได้

และไม่มีทางที่พระนางมาริษาจะเป็นธิดาของพระศิวะที่ประสูติจากพระนางปาราวตีหรือพระแม่อุมาเพราะมีเรื่องร่ำลือกันว่า พระนางมาริษาไม่ค่อยถูกชะตากับพระอัครมเหสีของผู้เป็นพระบิดาเท่าใดนัก

พระนางมาริษากับพระนางปาราวตีมีเรื่องขัดแย้งกันบ่อย ๆจนฝ่ายอ่อนเยาว์กว่าได้ตัดสินใจเสด็จลงมาประทับบนโลกและสถิตย์อยุ่ในฐานะเทพนารีที่ประทานพรต่อมนุษย์ จึงมีผู้คนนิยมสักการะบูชากันไม่น้อยในเวลาต่อมา

ในบางคัมภีร์ก็ยังระบุว่า พระศิวะมีลูกสาวอีกองค์หนึ่งคือ พระนางเนตาเทวี และก็มิได้บ่งบอกไว้เช่นกันว่าพระมารดาของพระนางเนตาเทวีคือใครกันแน่ แต่ถึงอย่างไรเรื่องราวของพระนางเนตาเทวีก็มิค่อยปรากฏบทบาทใด ๆมากนักในแวดวงเทพเทวะ

โดยทั่วไปมักจะมีความเชื่อกันแต่เพียงว่า พระศิวะทรงมีลูกชาย 2 องค์เท่านั้นคือพระพิฆเณศวรกับพระขันทกุมารนั่นเอง

บริวาร-กุเบร หรือท้าวเวสสุวรรณ

 
พระกุเบร ยักษ์ผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์สิน

พระกุเบร คนไทยเรียก ท้าวกุเวรหรืออีกนัยหนึ่งว่า ท้าวเวสสุวรรณ ถือเป็นบริวารคนสนิทของพระศิวะอีกคนหนึ่ง ทรงเป็นเทพเจ้าผู้พิทักษ์ดินแดนทางเหนือแห่งจักรวาล เป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย ทรงเป็นกษัตริย์แห่งยักษ์ ครองเมืองอัลกา ซึ่งอยู่ใกล้เทือกเขาหิมาลัย

ว่ากันว่า พระกุเบรนั้นมีผิวพรรณเป็นสีทองคำเหมือนกับรัศมีของ ดวงอาทิตย์ ทรงภูษาชั้นในด้วยผ้าสีแดง ชั้นนอกเป็นสีขาว สร้อยพระศอเป็นเหรียญทองคำ ทรงประดับเพชรพลอยเต็มพระองค์ พาหนะส่วนพระองค์คือ จิ้งจอกทองคำ ทำหน้าที่เดียวกับพระลักษมีเทวี(ในแง่ของการอำนวยโชคและทรัพย์สินเงินทอง)ทรงมีพุงพุ้ย ทรงมี 2 กร พระกรขวาทรงถือนิธิส (ถุงใส่เงินทอง)พระกรซ้ายถือตะบอง บางแห่งบอกมี 4 กร โดยเพิ่มหม้อน้ำกมันทลุ และผลมะนาวหรือแก้วสารพัดนึก ลักษณะพิเศษประจำพระองค์คือ ฟัน 8 ซี่ และมี 3 ขา

เรื่องราว ของพระกุเบรเกี่ยวพันกับการจุดประทีป โดยเฉพาะการถวายแสงสว่างแก่พระศิวะ

ก่อนหน้าที่จะมาเป็นพระกุเบรนั้น เขาเป็นลูกของพราหมณ์ญาณทัตตะในแคว้นกัมปิลยะ พราหมณ์ผู้นี้รอบรู้ในพิธีการและพระเวทเป็นอย่างดี ในขณะที่พราหมณ์คุณนิธิ ผู้เป็นลูกชายนั้นมีนิสัยตรงข้ามกับพ่อโดยสิ้นเชิง ชอบเที่ยวเตร่ เฮฮา ดื่มเหล้า ให้ร้ายป้ายสีคนอื่น ลักขโมย เล่นการพนันและติดสาวโสเภณี ผู้เป็นพ่อจับนิสัยลูกได้ จึงตัดขาดจากการเป็นพ่อลูกทันที

พราหมณ์คุณนิธิกลายเป็นคนพเนจรไร้ซึ่งทรัพย์สินใด ๆวันนั้นยังไม่มีอาหารใด ๆตกถึงท้อง และเขานั่งตัดพ้อต่อว่าชีวิตครั้งใหญ่ ระหว่างนั้น เขาเห็นเหล่าสาวกที่ศรัทธาในพระเป็นเจ้าได้นำเครื่องสังเวยไปบูชาพระศิวะในวันศิวาราตรีเมื่อเขาได้กลิ่นอาหารอันโอชะ เขาคิดช่องทางว่า หากสาวกเหล่านั้นหลับสนิทเมื่อไหร่ จะขโมยอาหารเหล่านั้นมากินแก้ความหิว

หลังจากเหล่าสาวกสิ้นสุดพิธีบวงสรวง ต่างแยกย้ายกันเข้านอนพราหมณ์หนุ่มเริ่มดำเนินการตามความตั้งใจไว้ทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่แสงไฟที่ตะเกียงบนแท่นบูชาพระศิวะริบหรี่ลง พราหมณ์หนุ่มก็เลยตัดสินใจฉีกชายเสื้อมาเป็นไส้ตะเกียง ไม่ใช่เพราะว่า ศรัทธาในพระเป็นเจ้าหรืออะไรทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะอยากเห็นอะไรต่อมิอะไรได้ชัดเจนขึ้น หลังจากนั้นเขาได้รีบฉกฉวยเอาอาหารรสเลิศและวิ่งออกจากเทวาลัยทันที ระหว่างที่เร่งรีบนั้น ไม่ทันระวังไปเหยียบเอาสาวกพระศิวะที่นอนอยู่คนหนึ่งเข้า ความเลยแตก เกิดการโวยวายขึ้นมา พวกสาวกทั้งหลาย เห็นชายแปลกหน้ามาขโมยของที่เขานำมาถวายต่อพระเป็นเจ้าก็โกรธเป็นกำลัง เข้ารุมทำร้ายชายแปลกหน้า จนล้มตายตรงหน้า
ยมฑูตมารับเอาดวงวิญญาณของพราหมณ์คุณนิธิ ขณะนั้นบริวารแห่งพระศิวะเทพได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าฑูต

"ข้าแต่ท่านยมฑูต ขอให้ปลดปล่อยดวงวิญญาณพราหมณ์หนุ่มผู้นี้เสียเขาไม่สมควรถูกท่านนำไปลงโทษ เพราะบาปทั้งหมดของเขาได้หมดสิ้นไปแล้ว"ยมฑูตเกิดความสงสัยเป็นกำลัง จึงถามว่า

"ข้าแต่บริวารแห่งคณะผู้ยิ่งใหญ่ เขาผู้นี้เป็นพราหมณ์ที่ประพฤติชั่วร้ายมากทำลายประเพณีและวัฒนธรรมแห่งครอบครัวของพราหมณ์ ทำลายชื่อเสียงวงค์ตระกูลแห่งบิดา-มารดาเขาไม่ปฏิบัติกิจแห่งพราหมณ์ไม่ได้ชำระร่างกายทางศาสนาในครั้งนี้เขาทำบาปมหันต์ด้วยการขโมยอาหารของพระเป็นเจ้า"

บริวารแห่งพระศิวะได้ฟังถ้อยความของยมฑูต จึงสำรวมจิตถึงพระเป็นเจ้าและตอบคำถามดังนี้

"ข้าแต่ท่านยมฑูต พระศิวะเทพเป็นผู้ทรงธรรมยิ่งใหญ่ต่อเหล่าบริวารแห่งพระองค์อย่างตลอดกาล ทำไมบุตรแห่งพราหมณ์ญาณทัตตะผู้นี้จึงได้เชื่อว่าหลุดพ้นจากบาปทั้งปวง

พราหมณ์หนุ่มผู้นี้ด้วยต่อเชื้อเพลิงให้สว่างขึ้นด้วยความไม่ตั้งใจด้วยเศษผ้าแม้ว่าจะเป็นการกระทำ
เพียงเล็กน้อยแต่ทว่ายิ่งใหญ่ เขาได้นั่งรอเวลาเพื่อให้ความดึกสงัดเข้าครอบคุมเทวาลัยระหว่างนั้น เขาได้นั่งฟังสวดสรรเสริญถึงพระนามแห่งศิวะเทพตลอดพิธีบวงสรวง อาหารที่เขาขโมยมานั้นยังไม่ตกถึงท้องแม้แต่น้อยด้วยเหตุนี้ เขาจะต้องเดินทางไปยังศิวะโลกพร้อมกับเรา เพื่อรับผลบุญนี้เป็นเวลาหนึ่งก่อน ขอให้ท่านปลดปล่อยดวงวิญญาณนี้ และเดินทางกลับสู่ยมโลกเพื่อทราบทูลต่อพระยายมราชถึงเหตุนี้"

พระยายมราช เมื่อทราบความทั้งหมด ทรงมีรับสั่งว่า "พวกเจ้าทั้งหลายจงฟังคำสั่งของข้าให้ดีทุกคนขอให้เจ้าทุกคนละเว้นจากบุคคลทั้งหลาย ผู้เจิมหน้าผากด้วยเครื่องหมายตรีปุณทร (เครื่องหมายสามขีด)ด้วยขี้เถ้าสีขาว ละเว้นผุ้สวมใส่เทวรูปแห่งศิวะเทพ ผู้สวมใส่ประคำรุทรักษะ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด จงอย่านำวิญญาณเหล่านี้มายังยมโลก"

หลังจากพราหมณ์หนุ่มได้เสวยสุขในศิวะโลกชั่วระยะหนึ่ง ได้ถือกำเนิดเป็นโอรสแห่งกษัตริย์อรินทัมแคว้นกลึงคะ ตั้งอยู่ในคุณความดีและเป็นสาวกแห่งพระศิวะเทพ ตลอดชีวิตของการเป็นกษัตริย์ได้สร้างวัด ซึ่งประดับประดาด้วยดวงประทีป ตลอดทั้งแว่นแคว้นของพระองค์แสงสว่างไม่เคยขาดช่วงเลย ด้วยการปฏิบัตินี้จึงทำให้พระองค์มีสมบัติมากมายเพิ่มทวีคูณมากขึ้น หลังสิ้นพระชนม์ชีพ ด้วยแสงสว่างจากดวงประทีปที่ประกอบต่อเนื่องมาตลอดช่วงที่มีชีวิตอยู่ ยังผลให้พระองค์ไปบังเกิดเป็นท้าวกุเบร กษัตริย์ยักษ์แห่งแคว้นอัลกามีพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า ประภา

คราวหนึ่งกษัตริย์แห่งอัลกาผู้นี้ ได้เข้มงวดในสมาธินานถึง 2 พันปี พระศิวะเทพและพระนางปราวตีปรากฏตรงหน้าแสงสว่างประดุจพระอาทิตย์พันดวงทำให้พระกุเบรมิอาจชื่นชมพระบารมีแห่งพระศิวะได้กระจ่างตา เพียงมหาเทพวางพระหัตถ์แตะบนร่างของพระกุเบรนั้น ทำให้เขามีพลังพอที่จะชื่นชมในพระบารมีแห่งมหาเทวะได้

พระกุเบรเห็นพระแม่อุมาครั้งแรก จึงรำพึงกับตัวเองว่า
"เป็นพระองค์ใดเล่า ที่ทรงประทับยืนเคียงข้างพระองค์ผู้เป็นใหญ่ ทรงมีพระรูปโฉมงดงามมาก ยากจะหาหญิงใดมาเทียบเท่า พระนางประกอบสมาธิอันใดเล่า ถึงมีพระบุญญาธิการยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ "พระกุเบรได้รำพึงกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาจ้องมองพระนางอุมาด้วยความอิจฉาในบุญญาธิการจนดวงตาด้านซ้ายของเขาระเบิดออกมา

"ข้าแต่เทวะ ทำไมชายชั่วผู้นี้ พระองค์ทรงให้พรต่อการทำสมาธิของเขา เขาได้จ้องมองข้าพเจ้าด้วยดวงตาข้างขวาที่เต็มไปด้วยประกายแห่งความฉงนสงสัยเขารู้สึกต่อข้าพเจ้าอย่างไรกันแน่ โปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบด้วยเถิดเพคะ"

พระแม่เจ้าตรัสถามพระศิวะเทพผู้เป็นสวามี พระองค์ทรงหัวเราะเมื่อได้ยินคำถามจากพระชายา

"โอ อุมาเทวีเขาผู้นี้เปรียบได้กับโอรสของนาง เขาไม่ได้จ้องมองนางตามที่นางคิดโกรธหรอก เขาเพียงพรรณาถึงความยิ่งใหญ่และอำนาจแห่งสมาธิของนางเท่านั้น"

พระศิวะเทพกล่าวตอบนางผู้เป็นชายา และหันไปตรัสกับพราหมณ์หนุ่มผู้นี้ว่า

"ลูกรักข้ายินดีและพอใจอย่างมากต่อการทำสมาธิระลึกถึงข้า ข้าจะมอบพรอันวิเศษตามที่เจ้าปรารถนาอยากได้ เจ้าจะได้เป็นเทพเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ในจักรวาลและจะได้เป็นเทพเจ้าแห่งพวกคุหยักษ์ เจ้าจะได้เป็นกษัตริย์แห่งพวกยักษ์ ,กินนรและเจ้าผู้ปกครองคนทั่วไป เจ้าจะเป็นผู้นำแห่งพวกบุณยะญาณ เป็นเทพเจ้าผู้ประทานทรัพย์สินเงินทองแก่จักรวาล
อันสัมพันธ์ของเจ้ากับตัวข้านั้นจะอยู่ชั่วกาลปวสาน ข้าจะอยู่ใกล้ชิดกับเจ้าตลอดกาล จะอยู่ในแคว้นของเจ้าและจะปกป้องคุ้มครองดูแลเจ้าอย่างใกล้ชิดเหมือนบริวารคณะของข้าทีเดียว บุตรแห่งพราหมณ์ญาณ ทัตตะ ผู้เป็นสาวกของข้า ขอให้เจ้าเข้ามาใกล้ ๆพระแม่องค์นี้คือ พระมารดาของเจ้า จงน้อมกราบพระบาทของนางด้วยความเคารพบูชา"

เมื่อรับฟังคำแห่งพระสวามี พระแม่ปราวตีมารดาแห่งจักรวาลทรงมีรับสั่งต่อบุตรพราหมณ์ด้วยถ้อยคำอันไพเราะว่า

"ลูกชายที่รัก ขอให้กราบไหว้บูชาพระศิวะมหาเทพตลอดกาล ด้วยดวงตาข้างซ้ายของลูกที่แตกออกมานั้นเจ้าจงมีชื่อว่า พระเอกปิงคะ (ผู้มีเครื่องหมายสีเหลืองอยู่ที่ดวงตาข้างซ้าย)ขอให้พรอันยิ่งใหญ่ที่เทพเจ้าแห่งจักรวาลที่ทรงประทานให้ไว้ จงสัมฤทธิ์ผลโดยเร็วและมั่นคงตลอดกาล เจ้าจะถูกขนานนามว่า ท้าวกุเบร (จุดไฟ,ผู้มีรูปร่างผิดแปลกจากผู้อื่น)"

หลังจากที่มหาเทพและมหาเทวีให้พรแก่ท้าวกุเบรแล้ว ทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับเขาไกรลาศ ส่วนดินแดนของท้าวกุเบรนั้นอยู่ในเมืองอัลกา ซึ่งอยู่ใกล้กับเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งคนไทยเรียกกันว่า เขาไกรลาศ นั่นเอง


โดยเฉพาะท้าวกุเบรนั้น ชาวธิเบตนับถือกันมาก เพราะเป็นเทพเจ้าที่อุดมด้วยทรัพย์สิน มีคุณสมบัติดุจเดียวกับพระลักษมีเทวี การผูกเทวปกรณ์ในบางเรื่องของชาวฮินดูนั้น ในบางแห่งว่ากันว่า ท้าวกุเบรมิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นลูกรักของลักษมีเทวีด้วย นั่นแสดงให้เห็นถึงตำนานที่ผูกแต่งกันไป อันเมืองอัลกา ของท้าวกุเบรนั้น แท้ที่จริงก็คือเมืองหน้าด่าน ที่ทุกคนจะต้องถูกตีตราตรวจสอบก่อนเข้าเฝ้าศิวะเทพที่เขาไกรลาศ นั่นเอง
เทพแห่งการร่ายรำ

พระศิวะเป็นมหาเทพที่ค่อนข้างจะอยู่ในแนวของศิลปินมากกว่าเทพองค์อื่น ๆ บรรดาทวยเทพทั้งปวงต่างกล่าวขวัญกันถึงอารมณ์ศิลป์ของพระศิวะว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน

เป็นต้นว่าในเรื่องของการแต่งองค์ทรงเครื่อง พระศิวะก็ไม่ค่อยจะโปรดแต่งองค์ด้วยเครื่องทรงอันหรูหราตระการตาดั่งราชันย์

ไม่โปรดที่จะประดับแก้วแหวนเงินทองพราวระยับจับตาดั่งเทพส่วนใหญ่
พระศิวะทรงโปรดที่จะแต่งตัวปอน ๆห่มหนังสัตว์มุ่นพระเกศาไว้รวก ๆมีงูเป็นดั่งสังวาลย์สาย

พระองค์ชอบที่จะไปนั่งบำเพ็ญภาวนาตามป่าช้าที่เต็มไปด้วยเงาของภูตพรายสารพัน
นอกจากสไตล์ของพระองค์ที่ค่อนไปทางศิลปินผู้สมถะและใฝ่สันโดษแล้ว พระศิวะยังทรงเป็นศิลปินแท้ ๆที่ได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นเจ้าของตำรับการร่ายรำระบำฟ้อนแห่งอินเดียเลยก็ว่าได้

ด้วยเพราะทรงเป็นเทพแห่งศิลปการร่ายรำ ปางหนึ่งของพระศิวะที่แสดงถึงฐานะของพระองค์ชัดเจนจึงเป็นปางที่ถือได้ว่าเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายนัก

ปางนั้นก็คือปางนาฏราช (nataraja)

ในตำนานเล่าว่า พระศิวะทรงชักชวนพระนารายณ์ปลอมแปลงโฉมเป็นสามี-ภรรยากันไป ณ ป่าแห่งหนึ่งเพื่อกำราบเหล่าดาบสที่ไม่ตั้งตนบำเพ็ญตบะและบูชาเทพอย่างที่ควร ดาบสกลุ่มนั้นประพฤติตนเหลวไหล ใฝ่ไปในทางชั่วมากกว่าจะอยู่ในศีลในธรรม

เมื่อทั้ง 2 มหาเทพไปปรากฏตัวในป่านั้นในฐานะของโยคีหนุ่มกับภรรยาสาว (พระนารายณ์ทรงปลอมเป็นภรรยาพระศิวะ)

เหล่าดาบสผู้มากกิเลสตัณหาก็พากันมาเวียนวนเกี้ยวพาราสีสาวงามภรรยาของโยคีหนุ่ม โดยไม่สนใจหรอกว่านางเป็นผู้มีคู่มีเจ้าของแล้ว บรรดาเมียๆของดาบสต่างก็ไม่วางตนว่าไม่โสดแล้วต่างก็พากันมาให้ท่าทอดสะพานโยคีรูปงามกันมิเว้นวาย

เวลาผ่านไป ก็ไม่มีดาบสผู้ใดพิชิตภรรยาสาวของโยคีได้ ความพิศวาสจึงได้กลายเป็นความเคืองแค้น เหล่าดาบสจึงพากันสาปแช่งโยคีและเมียรักให้มีอันเป็นไป แต่ทว่าคำสาปนั้นหลับไม่เกิดผลใด ๆทั้งสิ้น พวกดาบสนั้นไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าโยคีนั้นคือพระศิวะและภรรยานั้นคือพระนารายณ์ อิทธิฤทธิ์เวทมนตร์ใดๆก็มิอาจกล้ำกรายผู้เป็นเทวะได้แน่นอน แต่ด้วยความไม่รู้นั้น จึงยังทำพวกดาบสกำเริบเสิบสานต่อไป

พวกดาบสส่งยักษ์ชื่อมุยะละกะมาปราบ พระศิวะก็ทรงสำแดงฤทธิ์เดช ใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบอกยักษ์ไว้ แล้วก็ทรงร่ายรำไปในลีลาอันวิจิตรพิสดารยิ่งนัก บรรดาดาบสทั้งหลายจึงยอมศิโรราบ กราบขอขมาต่อพระศิวะโดยดีเมื่อได้ตระหนักว่าตนกำลังอหังการกับมหาเทพเสียแล้ว

ณ เทวาลัยในเมืองจิทัมพรัม ได้มีรูปพระศิวะในท่าร่ายรำต่าง ๆถึง 108 รูปด้วยกัน บรรดาผู้ที่สักการะบูชาพระศิวะมักจะไปบูชาพระศิวะ ณ เทวาลัยแห่งนั้นเป็นจำนวนมากในแต่ละปี

ตามตำนานโบราณกล่าวว่า เมื่อพระศิวะทรงตีกลองเป็นจังหวะอันไพเราะ โลกใบนี้ได้เคลื่อนไหวไปตามจังหวะกลองนั้นด้วย และเมื่อพระศิวะทรงร่ายรำเคลื่อนไหวพระองค์และพระกรพลิ้วไป ก็เป็นเหตุให้บังเกิดสุริยจักรวาลขึ้นในบัดนั้นเอง นักระบำของอินเดียจะต้องร่ายรำในท่าบูชาพระศิวะก่อนเสมอ แล้วจึงค่อยร่ายรำในท่าอื่นๆต่อไป

สำหรับท่ารายรำทั้ง 108 ท่าของพระศิวะนั้น ล้วนเป็นท่าที่ต้องใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายประกอบด้วย ไม่ว่าจะเป็น แขน ขา ข้อมือ เท้า เอว อก สะโพกหรือแม้แต่กล้ามเนื้อรอบดวงตา ลีลานาฏศิลป์แบบพระศิวะนั้นทั้งงดงามและน่าเกรงขาม

นอกจากนี้ นาฏลีลาของพระศิวะนั้นเป็นต้นแบบของท่าฟ้อนรำแบบไทย ๆเราด้วย ซึ่งได้นำท่าของพระศิวะมาประยุกต์ดัดแปลง เช่นเดียวกับท่าร่ายรำระบำฟ้อนของอีกหลาย ๆประเทศ ซึ่งได้ยอมรับว่ามีต้นแบบมาจากนาฏลีลาของพระศิวะเป็นส่วนมาก ผู้ที่เป็นศิลปินในแขนงการเต้นรำหรือฟ้อนรำมักจะนิยมบูชาขอพรจากพระศิวะให้เกิดความรุ่งเรืองในชีวิต ด้วยการบูชาพระศิวะด้วยดอกลำโพง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น